ความงามของภูเขา

เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ถามมานานจนน่าเบื่อ คำถามนั้นเริ่มด้วยเหตุการณ์จำลองที่ว่ามีภูเขาลูกหนึ่งในหมู่บ้านที่ชาวประชาไม่เคยเห็นความงามของมันเลยจนเมื่อมีกวีจากต่างถิ่นเขียนบทประพันธ์พรรณนาความงามของภูเขาลูกนั้นจนทุกคนรวมทั้งชาวบ้านเห็นดีเห็นความงามของภูเขาลูกนั้นท้ายที่สุด ตามด้วยข้อขมวดปริศนาคำถามแบบเกมโชว์ว่าภูเขามีความงามในตัวมันอยู่แล้ว หรือมีความงามภายหลังจากมีคนมาชมความงามแล้ว

เคยตอบด้วยคำตอบที่จำไม่ได้แล้ว แต่เมื่อเช้ามีอีกคำตอบหนึ่งที่ไม่ต้องพึ่งพาแอบอิงชื่อนักคิดใดๆ

เริ่มด้วยการสมมุติว่าภูเขาลูกนั้นมีคุณสมบัติที่รวมๆ กันจะถือว่าเป็นความงามอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่คนทั่วไปมองไม่เห็นตั้งแต่แรก เช่นนี้เท่ากับยอมรับว่าความงามเป็นเรื่องที่ต้องฝึก ต้องมีประสบการณ์ก่อน ถึงจะตรวจจับได้ ต้องได้รับการสั่งสอนกันก่อนว่าอะไรแบบไหนที่มีความงาม แต่แล้วสภาพการณ์แบบนี้ก็ขัดแย้งกันสิ่งที่เราเข้าใจกัน เพราะที่เราสนใจความงามก็เพราะมันทำให้เกิดผลลัพธ์คือความน่าพึงใจในประสาทสัมผัสรับรู้ และก็คงเป็นเรื่องแปลกถ้าเราต้องให้คนมาสอนว่าอะไรน่าพึงใจหรือไม่พึงใจ ถ้าสิ่งใดจะมีความงามอยู่ บุคคลย่อมน่าจะรู้ได้เอง

แต่แล้วจะให้เหตุผลอย่างไรกับที่ชาวบ้านหันมาชื่นชมความงามกับภูเขา ภายหลังมีกวีมาเขียนคำชม คำตอบควรจะเป็นว่าการเขียนกวีเป็นการใส่คุณสมบัติความงามให้กับภูเขาลงไปภายหลังนั่นเอง เมื่อมีคุณสมบัติที่เป็นความงามนั้นแล้ว คนจึงหันมาชื่นชมความงามได้

คุณสมบัติของสิ่งของไม่จำเป็นต้องเป็นของที่จับต้องได้ สถานการณ์ที่รายล้อมรอบตัวของนั้นก็ควรจะเป็นคุณสมบัติติดตัวของสิ่งของนั้นๆ ได้ เช่น รองเท้าวิ่งที่เพิ่งซื้อจากห้าง กับ รองเท้าวิ่งคู่เดียวกันที่อูแซง โบลต์เอามาใส่ทีหลังและใช้ทำลายสถิติวิ่ง 100 เมตร เช่นนี้ควรถือว่ารองเท้าวิ่งก่อนอูแซง โบลต์มาใส่ กับหลังอูแซง โบลต์มาใส่นั้นเป็นคนละคู่ แม้ในทางกายภาพ มันเกาะกลุ่มมวลเดิมๆ ของมันหอบผ่านข้ามช่วงเวลาทั้งสองมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมนุษย์จะมีวิธีปฎิบัติต่อสิ่งของนั้นต่างกันในสองช่วงเวลา ทั้งในแง่เรื่องราวประวัติศาสตร์ รวมถึงในแง่การให้มูลค่าในการซื้อขายแลกเปลี่ยน

กรณีนี้ก็เช่นกัน ภูเขาก่อนกวีมาชม กับหลังกวีมาชม คือภูเขาคนละลูก ลูกแรกไม่มีความงาม ลูกที่สองมีความงาม เกิดจากการปะทะกันของความหมายระหว่างชื่อเสียงของตัวกวี ความไพเราะของเสียงกวีที่เป็นตัวแทน โอบกอดกายภาพของภูเขาลูกนั้นไว้ ทำให้ภูเขาลูกนี้มีคุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่าความงาม เกิดขึ้นมาภายหลัง ทำให้้เกิดความพึงใจในประสาทสัมผัส

คำตอบนี้แตกต่างจากการตอบว่าเพราะความงามเป็นเรื่องของแต่ละคน ทุกคนอยากจะเห็นความงามในสิ่งไหนก็ได้ ซึ่งฟังดูดีมีลิเบอรั่ลในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเมื่อเจอกับข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีใครเห็นความงามในขี้หมา กองขยะ หนองน้ำเน่าหมาลอยตายเลย (ทั้งที่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นไปได้ที่ต้องมีคนกลุ่มหนี่งเห็นความงามนั้น)

———————–

หมายเหตุ: บลอกนี้ที่เงียบไปเนื่องจาก ผู้เขียนขณะนี้ทำงานในออฟฟิศแห่งหนึ่งซึ่งกินเวลา 30% ของชีวิตทั้งสัปดาห์ เมื่อรวมกับเวลานอนแล้วก็จะเท่ากับ 60% นั่นหมายความว่ามีเวลาว่างที่จะทำอย่างอื่นได้เพียง 40% ของเวลาทั้งสัปดาห์ จึงทำให้การมาเขียนบลอก อ่านหนังสืออ่านเล่น เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้นจึงต้องขออภัย

การไม่มีเวลาว่างทำสิ่งที่เคยทำนั้น ทำให้รู้สึกแปลกแยกกับตัวเองที่ไม่ค่อยมีความเห็นกับเรื่องราวความเป็นไปในบ้านเมือง ในโลก (ยกเว้นเรื่องธุรกิจหลักทรัพย์) ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน ความหมายของตัวตนเหมือนจะเป็นสิ่งที่เลื่อนออกไปเรื่อยๆ ในแบบเดียวกับที่ดาร์ริด้าเห็นว่าคำในภาษาจะมีความหมายเลื่อนออกไปทุกครั้งที่มีคำใหม่ๆ มาต่อจากมัน เช่นนี้ ทั้งความหมายของตัวตน และความหมายของคำล้วนได้รับผลกระทบจากการเดินหน้าพบปะสิ่งแปลกใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ทั้งสิ้น



ใส่ความเห็น